พี่น้องที่รักของเรา
ตามนิกายฮะนะฟีแล้ว
การหย่าร้างจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชายผู้บรรลุวัยรุ่นและมีสติสัมปชัญญะเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นอิสระหรือเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็นการหย่าร้างด้วยความสมัครใจหรือด้วยการบังคับ ก็ไม่มีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ในนิกายมุฏะลิกะ การหย่าร้างที่เกิดจากการบังคับจะไม่ถือว่าสมบูรณ์
(อัล-เจวะฮะรุตุน นาริยะ)
ศาสนาอิสลามได้ปกป้องสถาบันการแต่งงานมาโดยตลอด
เขาไม่เห็นว่าการหย่าร้างกับภรรยาโดยพลการเป็นเรื่องที่เหมาะสม และไม่ยอมให้มีการพูดถึงการหย่าร้างกับภรรยาเป็นเรื่องตลกหรือพูดเล่นๆ จนทำให้ศักดิ์ศรีของสตรีเสียหาย ในแง่นี้ เขาไม่ยอมให้มีการพูดถึงการหย่าร้างกับภรรยาของเขาเป็นเรื่องตลกหรือพูดเล่นๆ
“เธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉันเลย”
ได้ยอมรับว่าการหย่าร้างของชายที่พูดเช่นนั้นจะมีผลผูกพันตามกฎหมาย
เพราะว่าศาสดาโมฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ตรัสไว้ว่า:
“มีสามสิ่งที่เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเล่น ๆ: การแต่งงาน การหย่าร้าง และการกลับใจ”
(อบู ดาวูด, ตะลาค 9)
เช่นเดียวกัน การหย่าร้างโดยไม่ตั้งใจเนื่องจากเผลอพูดคำหย่าร้างออกไปนั้น ถือว่าเป็นการหย่าร้างที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น ผู้มีศรัทธาควรระมัดระวังทั้งการกระทำและคำพูดที่ออกมาจากปากเสมอ และต้องควบคุมตนเองอยู่เสมอ
การหย่าร้างอย่างเป็นทางการ
คือการหย่าร้างที่กระทำด้วยคำพูดที่ชัดเจนและสะท้อนเจตนาของผู้หย่าร้าง
เนื่องจากเป็นสิ่งที่เปิดเผย จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาเจตนา เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากปากของคนคนหนึ่ง คำพูดนั้นก็ถือเป็นคำตัดสิน ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร ก็จะไม่นำเจตนามาพิจารณา
“เธอเป็นคนเลว ฉันหย่ากับเธอ”
คำพูดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เปิดเผยอยู่แล้ว
การหย่าร้างด้วยคำพูดที่เปรียบเปรยนั้น ต้องอาศัยเจตนาประกอบด้วย
เพราะคำพูดที่ใช้ไปนั้นอาจมีความหมายได้ทั้งการหย่าร้างและมีความหมายอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ฟุคอฮา (นักฟิเกาะฮ์) ทุกคนจึงกล่าวว่า การหย่าร้างที่ใช้คำพูดเป็นนัยนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเจตนาเท่านั้น เพราะความหมายที่ใช้ไม่ชัดเจน
(ดู: Celal YILDIRIM, ฟิกฮ์อิสลาม)
ด้วยความรักและคำอวยพร…
ศาสนาอิสลามผ่านคำถามและคำตอบ